ทองคำแท้ มีวิธีพิสูจน์อย่างไร? 8 หลักการพิจารณาทองแท้ พฤษภาคม 29, 2018 – Posted in: บทความ – Tags: ทอง, ทองคำ, ทองคำแท้, ทองแท้, เปอร์เซ็นต์ทองต่ำ
ทองคำแท้ กับหลากหลายวิธีพิสูจน์
ทองคำแท้ กับสารพันปัญหาเกี่ยวกับการพิสูจน์ทองคำแท้ รวมไปถึงการแยกระหว่างทองคำแท้ตามมาตรฐาน (96.5%) ทองเปอร์เซ็นต์ต่ำ และทองปลอม ออกจากกันนั้นทำได้อย่างไรบ้าง บ้างก็ว่าให้ลองตะไบดู บ้างก็ว่าให้เผา แล้วใครจะกล้าเผาทองที่ซื้อมากันล่ะเนี่ย วันนี้ห้างทองพรทวีจะมาเล่านานาวิธีพิสูจน์ทองคำให้ท่านผู้อ่านได้ทราบกันนะคะ
8 หลักการพิจารณาทองแท้ ทองเปอร์เซ็นต์ต่ำ และทองปลอม
ก่อนอื่นขออธิบายความหมายของคำว่าทองแท้ ทองเปอร์เซ็นต์ต่ำ และทองปลอมก่อนนะคะ
ทองแท้ ในที่นี้หมายถึงทองคำที่มีเปอร์เซ็นต์ทองบริสุทธิ์ตามมาตรฐานสมาคมค้าทองคำ คือ 96.5% (23K) หรือ 99.99% (24K) ซึ่งเป็นทองเปอร์เซ็นต์ทองสูง และมีธาตุผสมอื่นๆไม่เกิน 3.5% โดยทองและธาตุผสมจะผสมกันเป็นเนื้อเดียวไม่แยกจากกัน และด้วยความที่มีเปอร์เซ็นต์ทองสูง จึงทำให้มีความแข็งแรงและความแข็งต่ำตามสมบัติของทองคำ (Au) แต่ก็มีความสวยงามสมฐานะทองแท้ และสามารถซื้อ ขาย ขายฝาก(จำนำ) ได้ในราคาสูง
ทองเปอร์เซ็นต์ต่ำ คือทองคำที่มีเปอร์เซ็นต์ทองบริสุทธิ์ต่ำกว่า 96.5% และมีธาตุผสมสูงกว่า 3.5% โดยการเพิ่มธาตุผสมนี้ก็เพราะเหตุผลด้านการผลิต ขึ้นรูป รวมไปถึงการปรับปรุงสมบัติของทองให้มีความแข็งแรง คงทน สามารถออกแบบดีไซน์ให้มีลูกเล่นได้มากกว่าทองเปอร์เซ็นต์สูงๆ หรือเพื่อเพิ่มสีสันต่างๆ เช่น pink gold, yellow gold สำหรับเป็นตัวเลือกให้แก่ผู้ชื่นชอบใส่ทอง และก็ยังสามารถซื้อ ขาย ขายฝาก(จำนำ) ได้เหมือนทองแท้ เพียงแต่ราคาตอนที่ท่านซื้ออาจจะสูงหรือต่ำกว่าทอง 96.5% ก็ได้ขึ้นกับรูปแบบและการดีไซน์ของทองแต่ละชิ้น ส่วนราคาตอนขายคืน หรือขายฝาก(จำนำ) จะได้ต่ำกว่าทอง 96.5% อยู่พอสมควร ซึ่งเป็นไปตามเปอร์เซ็นต์ทองบริสุทธิ์ที่ผสมอยู่นั่นเองค่ะ (เปอร์เซ็นต์ทองต่ำจนเกินไป ก็อาจขายคืนหรือขายฝากไม่ได้เลยก็เป็นได้) เราอาจเรียกทองเปอร์เซ็นต์ต่ำได้อีกหลายชื่อเช่น ทองเค ทองเขียว เป็นต้น
ส่วนทองปลอม คือทองเก๊ที่ทั้งชิ้นไม่ได้มีส่วนผสมของทองอยู่เลย, หรือทองหุ้ม ทองไมครอน ทองชุบ ที่ใช้การชุบทองแท้อยู่เฉพาะภายนอกเท่านั้น ส่วนข้างในอาจเป็นทองเหลืองหรือโลหะชนิดอื่นๆ ก็จัดเป็นทองปลอมประเภทหนึ่งเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะมีการวางจำหน่ายทองหุ้ม ทองไมครอน หรือทองชุบ ในร้านทอง เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ลูกค้าก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถนำทองเหล่านี้กลับมาขายคืน หรือขายฝาก(จำนำ) ให้แก่ทางร้านได้อีกต่อไป
การดูด้วยสายตาเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากในการที่จะแยกทองทั้ง 3 ประเภทออกจากกัน ดังนั้นตามที่ทางเราเคยแนะนำไปว่าให้ท่านสอบถามรายละเอียดหรือขอใบรับประกันจากทางร้านเสมอเมื่อมีการซื้อทอง เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่ท่านจะได้ทราบว่าทองที่ท่านลงทุนซื้อนั้นเป็นทองแท้หรือไม่ แต่หากท่านยังไม่เชื่อว่าทองที่ซื้อมานั้นเป็นทองแท้หรือไม่ เรามีวิธีการพิจารณาทองดังนี้ค่ะ
1. การดูยี่ห้อ และเปอร์เซ็นต์ทอง ที่ประทับอยู่บนตัวทอง
ในระยะหลังที่มีการควบคุมมาตรฐานการผลิตทองคำโดยสมาคมค้าทองคำ ทองคำแท่งและทองรูปพรรณทุกชิ้น จะมีการประทับตรายี่ห้อ(ผู้ผลิต) มักเป็นอักษรภาษาจีน 3-4 ตัว และเปอร์เซ็นต์ทอง อยู่บริเวณหัวจรวดหรือห่วงที่อยู่ใกล้กับตะขอของสร้อย, บริเวณด้านในของแหวน, ด้านหลังของต่างหู หรือห่วงที่ใช้ห้อยกับตะขอของจี้ หากเป็นทองเปอร์เซ็นต์มาตรฐานก็จะปั๊ม 96.5% ส่วนทองเปอร์เซ็นต์ต่ำจะปั๊มยี่ห้อและเปอร์เซ็นต์ของทองชิ้นนั้น เช่น 90%, 80%, 75%, 750 หรือ 18K, 14K เป็นต้นค่ะ
เราสามารถเชื่อได้ระดับหนึ่งว่าการปั๊มยี่ห้อและเปอร์เซ็นต์ทองนั้นแสดงถึงความเป็นทองแท้ตามเปอร์เซ็นต์ที่ปั๊ม เนื่องจากไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะมีการทำเลียนแบบ แต่หลังๆ ได้ข่าวว่าก็เริ่มที่จะมีมิจฉาชีพทำเลียนแบบขึ้นมาบ้างแล้ว เราจึงต้องพิจารณาวิธีการพิสูจน์ข้ออื่นๆเพิ่มด้วยค่ะ
2. น้ำหนักทองอยู่ในช่วงตามค่ามาตรฐาน
สามาคมค้าทองคำได้กำหนดน้ำหนักของทองรูปพรรณ 96.5% แต่ละขนาดไว้ดังนี้
ทอง 0.6 กรัม = 0.6 กรัม,
ทอง 1 กรัม = 1.0 กรัม,
ทองครึ่งสลึง = 1.9 กรัม,
ทอง 1 สลึง = 3.79 – 3.8 กรัม,
ทอง 2 สลึง = 7.58 – 7.6 กรัม,
ทอง 3 สลึง = 11.37 – 11.4 กรัม,
ทอง 1 บาท = 15.16 – 15.2 กรัม,
ทอง 6 สลึง = 22.74 – 22.8 กรัม,
ทอง 2 บาท = 30.32 – 30.4 กรัม, …
หากเป็นทองเปอร์เซ็นต์ต่ำ อาจอ้างอิงน้ำหนักทองตามนี้ หรือไม่อ้างอ้างอิง ก็ได้ เนื่องจากทองรูปพรรณที่ใช้ทองเปอร์เซ็นต์ต่ำจะผลิตตามความเหมาะสมด้านการผลิตขึ้นรูป ผลิตตามดีไซน์พิเศษ อาจมีเพชรหรือลูกเล่นอื่นเพิ่มขึ้นมา ทำให้น้ำหนักไม่เป็นไปตามข้อมูลข้างต้นค่ะ
กรณีทองปลอมก็เช่นกัน หากเป็นทองปลอมที่ตั้งใจผลิตเพื่อหลอกลวงผู้ซื้อ แน่นอนว่ามิจฉาชีพที่ฉลาด มีความรู้หน่อยย่อมผลิตทองออกมาตามน้ำหนักดังกล่าว แต่หากเป็นทองที่ไม่ได้ตั้งใจเพื่อจะหลอกลวงผู้ซื้อ ก็จะมีน้ำหนักต่างๆกันไปค่ะ
ฉะนั้นข้อนี้ท่านอาจแยกทองแท้ทองปลอมออกไม่ได้ทั้งหมด ต้องอาศัยตัวช่วยอื่นด้วยค่ะ
3. การลองใช้เล็บจิกเนื้อทอง เพื่อดูความอ่อนตัวของทอง
ด้วยความที่ทองคำบริสุทธิ์เป็นโลหะที่มีความอ่อนตัวสูง หากท่านเป็นคนที่เคยใส่ทองรูปพรรณมาบ้างก็จะทราบว่าทองนั้นบุบง่ายมากๆค่ะ ฉะนั้นเราอาจพิจารณาทองเปอร์เซ็นต์สูงได้ด้วยการเอาเล็บจิกค่ะ ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้ทองเสียรูปไปนะคะ โดยท่านอาจจะจิกบริเวณที่มองไม่ค่อยเห็นก็ได้ จะได้ไม่สร้างรอยแผลกวนใจเรานะคะ (แต่อย่าไปแอบจิกทองในร้านทองนะคะ อันนี้ไม่ดีค่ะ)
วิธีการนี้อาจต้องอาศัยคนที่มีประสบการณ์หน่อยนะคะ ถึงจะทราบความรู้สึกเวลาเล็บเราจิกลงไปที่เนื้อทอง ว่าทองเปอร์เซ็นต์สูงกับทองเปอร์เซ็นต์ต่ำๆ มีการยวบตัวแตกต่างกันอย่างไร เพราะมิฉะนั้นถึงจิกไปก็คงไม่สามารถแยกอะไรได้อยู่ดีค่ะ
4. การใช้ตะไบ ตะไบเนื้อทองด้านนอกออก
การใช้ตะไบ ตะไบทองออกนี้ มีประโยชน์เฉพาะแยกทองกับทองปลอมออกจากกันด้วยสายตา แต่ไม่สามารถแยกทองเปอร์เซ็นต์สูงกับทองเปอร์เซ็นต์ต่ำออกได้นะคะ เนื่องจากการตะไบเป็นการเปิดเนื้อทองให้เห็นเนื้อข้างใน ในกรณีที่เป็นทองปลอม ทองชุบ ทองยัดไส้ เมื่อตะไบแล้ว จะเผยให้เห็นสีทองใต้ผิวที่ผิดแปลกไปจากสีทองที่ผิวซึ่งผ่านการชุบมาแล้วนั่นเองค่ะ แต่ที่ไม่สามารถแยกทองเปอร์เซ็นต์สูงออกจากทองเปอร์เซ็นต์ต่ำได้เนื่องจากทองทั้งสองประเภทเป็นทองที่เป็นเนื้อผสมเดียว ฉะนั้นสีของทองไม่ว่าบนผิวหรือใต้ผิวก็จะมีสีเดิมทั้งชิ้น ผู้ที่ไม่มีประสบการณ์อาจจะแยกไม่ออกได้ด้วยสายตาค่ะ
สำหรับข้อเสียของวิธีการนี้คือการใช้ตะไบตะไบเนื้อทองออก อาจทำให้น้ำหนักทองลดลง มากน้อยก็ตามแต่ว่าท่านตะไบเนื้อทองออกไปมากเพียงใดนั่นเองค่ะ
5. การพิจารณาบริเวณขอบของทอง
ทองปลอมประเภท ทองหุ้ม ทองชุบ ทองไมครอน เมื่อใช้งานไปนานๆ จะเห็นการลอก หรือการแยกตัวของชั้นหุ้มออกจากเนื้อภายใน ซึ่งนอกจากเห็นการแยกชั้นแล้ว ก็อาจสังเกตได้ด้วยสายตาว่าชั้นหุ้มภายนอกและเนื้อภายในมีสีคนละสีกัน ต่างจากทองเปอร์เซ็นต์สูงและทองเปอร์เซ็นต์ต่ำที่เป็นทองเนื้อเดียวกันทั้งชิ้น ไม่มีการแยกชั้นออก ทำให้เราสามารถสรุปได้ว่าเป็นทองชุบนั่นเองค่ะ
6. ใช้การเหนี่ยวนำไฟฟ้า
ข้อนี้อาจจะยากหน่อยสำหรับบุคคลทั่วไปที่ไม่มีเครื่องมือนะคะ โดยวิธีนี้จะต้องใช้เครื่องมือที่สามารถแสดงผลออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ของทอง หรือประเภทของโลหะชิ้นนั้น ซึ่งเป็นผลมาจากสมบัติการเหนี่ยวนำไฟฟ้าของโลหะที่แตกต่างกันตามแต่ละประเภทค่ะ โดยข้อจำกัดของเจ้าเครื่องนี้คือมักจะพิสูจน์ได้ผลเฉพาะแค่ที่ผิวของวัตถุหรือใต้ผิวแค่เล็กน้อยเท่านั้นเองค่ะ ฉะนั้นหากเป็นทองปลอมที่มีผิวเคลือบหนาๆ ก็อาจจะต้องทำการตะไบเพื่อเปิดผิวนอกออกก่อนจึงจะใช้เครื่องนี้ให้ได้ผลที่แม่นยำขึ้นค่ะ
7. การทดสอบด้วยกรดและน้ำเกลือ
การทดสอบทองด้วยการใช้กรดและน้ำเกลือ ทำได้โดยนำทองที่ท่านสงสัยมาขูดลงบนแผ่นหินเรียบ ให้เนื้อทองติดลงไปบนหิน แล้วนำกรดไนตริกเข้มข้นหยดลงไปที่ทองที่ขูดไว้ ตามด้วยน้ำเกลือ ให้สังเกตว่าทองแท้จะไม่ละลายหายไปกับกรดและน้ำเกลือ แต่จะยังคงเหลืออยู่บนหินเช่นนั้นไปตลอดค่ะ ต่างจากทองปลอมหรือทองเปอร์เซ็นต์ต่ำๆที่เนื้อทองจะถูกกรดกัดจนละลายออกไปหมดหรือละลายออกไปบางส่วนจนสีอ่อนลงค่ะ ดังนั้นวิธีการนี้อาจไม่ได้ผลหากเป็นทองชุบที่ชุบมาหนามากเช่นกันค่ะ
8. ทองแท้ย่อมไม่แพ้ไฟ
ทองแท้ย่อมไม่แพ้ไฟ ไม่ใช่แค่ประโยคที่ถูกสร้างขึ้นให้มีสมบัติสำนวนสละสลวยเพียงเท่านั้น แต่เป็นประโยคคลาสสิก ที่มีนัยยะเพื่อแสดงถึงความแข็งแรงในจิตใจของมนุษย์ที่ถึงแม้จะเจออุปสรรคอย่างไรก็ไม่ยอมแพ้ ดุจดั่งทองคำแท้ที่ถึงแม้จะโดนไฟเผา แต่ก็ไม่มีทางจะเปลี่ยนสภาพไปจากทองเลยเช่นกัน
ก่อนที่ท่านจะทำการพิสูจน์ด้วยวิธีเผาไฟ เราขอเตือนว่าหากท่านเผาทองบริเวณที่เนื้อทองบางๆ มีความเสี่ยงที่ไฟจะทำให้ทองของท่านขาดได้ รวมไปถึงสภาพทองอาจไม่กลับมาเหมือนเดิมอีก ฉะนั้นขอให้ใช้ความระมัดระวังหน่อยนะคะ หากต้องการพิสูจน์ทองด้วยวิธีนี้ ท่านก็สามารถใช้ไฟสเปรย์ ไฟตะเกียง หรือไฟแช็คเผาทองจนร้อนแดงได้เลยค่ะ เมื่อทองเย็นลง หากเป็นทองแท้เปอร์เซ็นต์สูงก็จะคืนสภาพกลับมาเป็นทอง ซึ่งมีสีทองเหมือนก่อนที่ท่านจะเผาเลยค่ะ แต่ยกเว้นบริเวณน้ำประสานทองนะคะ ถ้าบริเวณน้ำประสานทองถูกเผาไฟ ก็จะมีสีดำค่ะ เนื่องจากบริเวณนี้มีธาตุอื่นผสมสูง ซึ่งธาตุผสมเหล่านั้นสามารถทำปฏิกิริยากับอากาศเมื่อโดนไฟเผาเกิดเป็นออกไซด์ได้ง่ายกว่าทองที่เป็นธาตุเฉื่อยนั่นเองค่ะ จึงทำให้มีสีดำ
กรณีที่ทองของท่านเป็นทองเปอร์เซ็นต์ต่ำ ทองที่เย็นลงหลังถูกเผาจนร้อนแดงจะมีสีดำคล้ำลง โดยยิ่งเป็นทองเปอร์เซ็นต์ยิ่งต่ำ สีทองของท่านก็จะยิ่งดำคล้ำมากยิ่งขึ้น และไม่กลับสภาพเดิมหลังจากเย็นตัวแล้วอีกด้วยค่ะ
แต่ถ้าเป็นทองปลอม ทองชุบ พวกนี้เมื่อถูกเผาไฟก็จะเสื่อมสภาพไปจนเห็นชัดเลยค่ะ และสีของทองก็จะเปลี่ยนไปมากเช่นกันค่ะ อาจไม่ใช่แค่ดำคล้ำลงมาก แต่อาจเปลี่ยนเป็นสีอื่นไปเลยก็ได้ค่ะ
หากท่านต้องการให้สีบริเวณน้ำประสานทอง หรือสีของทองเปอร์เซ็นต์ต่ำของท่านคืนตัว จะต้องนำทองที่ถูกเผาจนร้อนแดง มาจุ่มกรดซัลฟิวริกเข้มข้นเพื่อคืนสภาพทอง และตามด้วยน้ำเกลือเพื่อปรับสภาพให้เป็นกลางค่ะ ซึ่งการใช้กรดนี้อันตรายมากเนื่องจากจะมีกรดที่ทำปฏิกิริยากับทองที่ร้อน และคราบไคล คราบสบู่ในทองของท่าน ออกมาเป็นไอกรด หากสูดดมก็จะอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจของท่านได้ค่ะ ส่วนผลลัพธ์ที่ได้ต้องขอบอกให้ท่านทำใจเผื่อไว้มากหน่อยนะคะ เพราะยิ่งเป็นทองเปอร์เซ็นต์ต่ำ การคืนสภาพของทองและสีของทองก็จะยิ่งน้อยลง คือทองของท่านอาจจะมีสีคล้ำไม่คืนสภาพอีกเลยก็เป็นได้ค่ะ
วิธีเผาไฟนี้เป็นวิธีที่แม่นยำที่สุดในบรรดาการพิสูจน์ทองทุกวิธีที่ร้านทองนิยมใช้กัน แต่ถึงเป็นร้านทอง ก็ยังใช้การเผาทองเฉพาะในกรณีที่จำเป็นหรือหลังพิจารณาทองจากประสบการณ์แล้วยังมีความสงสัยอยู่ถึงจะเลือกใช้วิธีการนี้กันค่ะ
เป็นอย่างไรบ้างคะกับ 8 วิธีการพิจารณาทองคำที่เรานำเสนอไป ที่จริงแล้วท่านอาจไม่ต้องทำให้ครบทุกวิธีก็คงเพียงพอที่จะบอกได้นะคะว่าทองของท่านคือทองประเภทไหน ท่านสามารถเลือกวิธีการที่เหมาะสมได้เลยค่ะ แล้วการซื้อทองครั้งต่อไปของท่านจะเป็นเรื่องสนุกขึ้นมาเลยล่ะค่ะ
ท่านสามารถเลือกชมสินค้า และเช็คราคาทองแบบวันต่อวัน ได้ที่อัลบั้มสินค้าของเราได้เลยค่ะ
*ลิขสิทธิ์ บทความโดย บริษัท ห้างทองพรทวี จำกัด ไม่อนุญาตให้ทำซ้ำ คัดลอก เปลี่ยนแปลง หรือแก้ไขส่วนหนึ่งส่วนใดของเนื้อหา